Homage to The Moon

ครีเอทีฟอเมริกันมักกล่าวว่า วิถีสูงสุดของ Art Director เมืองนอกคือการได้ขึ้นแท่นเป็น Fine Artist หรือไม่ก็ Curator พิพิธภัณฑ์ศิลปะ แต่สำหรับ Copywriter ย่างก้าวถัดไปที่พิสูจน์ Craftsmanship ของนักสร้างสรรค์ถ้อยคำโฆษณาได้ดีที่สุด นอกเหนือจากการขึ้นชั้นเป็น Writer มีหนังสือหรือบทหนังเป็นของตนเองเต็มตัวแล้ว ก็ต้องยกให้กับหน้าที่นี้เลย… คนร่างสุนทรพจน์ให้กับประธานาธิบดี… และข้อเขียนที่ยกมาให้ดูนี้ก็เป็นบทพิสูจน์ชั้นดีถึงฝีมือการเขียนที่ลุ่มลึกหมดจด เปี่ยมจินตนาการและแรงบันดาลใจของนักเขียนสุนทรพจน์ William Safire ในปี 1969 ที่เขียนให้ Richard Nixon ประธานาธิบดีอเมริกันสมัยนั้นเก็บใส่กระเป๋าสำรองเอาไว้พูดกับชาวโลก เผื่อเกิดเหตุร้ายไม่คาดฝันขึ้นจากภารกิจเดินทางสู่ดวงจันทร์ของ Neil Armstrong และยาน Apollo 11 ซึ่งขณะนั้นไม่มีใครมั่นใจได้เต็มร้อยว่าพวกเค้าจะร่อนลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ โชคดีที่ Neil Armstrong ไม่เพียงได้ก้าวเท้าลงสัมผัสดวงจันทร์เป็นคนแรกของโลก ยังเดินทางกลับมาเหยียบย่างบนพื้นพระแม่ธรณีได้อย่างปลอดภัย จนเพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคชราไปเมื่อวานนี้ด้วยวัย 82 ปี รุ่นพ่อรุ่นแม่รวมถึงรุ่นเราจึงไม่มีใครได้ฟังสุนทรพจน์ชุดนี้

Dream World

พักสายตาจากงานตรงหน้า มองไปยังโลกกว้างแล้วก็ได้เห็นภาพถ่ายชนะเลิศรางวัล National Geographic Traveler ของแมกกาซีนท่องเที่ยวระดับโลกชื่อเดียวกันนี้ ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 24 โดยตัดสินจากผลงานนับหมื่นภาพจากฝีมือช่างภาพทั่วมุมโลกที่ส่งเข้าประกวด แต่ละภาพน่าพิศน่าแพ็คกระเป๋าออกเดินทางไปดูให้เห็นกับตาเป็นที่สุด โดยเฉพาะผลงานชนะเลิศอันดับแรกนับว่าสมศักดิ์ศรีมากๆ เป็นภาพถ่ายผู้หญิงชาวอัฟกานิสถานในหมู่บ้านบนยอดเขาห่างไกลโลกภายนอก ที่ต้องเดินเท้าเข้าไปเป็นอาทิตย์ๆ แต่ในบ้านเล็กๆ ของพวกเธอมีทั้งมือถือ จอทีวีและเครื่องเสียง ซึ่งได้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยให้กำเนิดไฟ และแน่นอน การติดต่อสื่อสารของพวกเธอทำผ่านจานดาวเทียม นับเป็นภาพวิถีชีวิตยุคเก่าที่ผสมผสานการใช้ชีวิตยุคใหม่ได้อย่างมีเสน่ห์ ให้แง่มุมความเป็นมนุษย์ในประเทศที่เต็มไปด้วยข่าวการเข่นฆ่าทำลายล้างแบบหาชมกันไม่ได้ง่ายๆ ส่วนผลงานชนะเลิศอันดับสองเป็นภาพถ่ายใกล้ๆ บ้านเรานี่เองคือเวียดนาม ช่างภาพเลือกใช้ภาพขาวดำนำเสนอช่วงเวลาที่เด็กๆเล่นลูกโป่งตอนเช้าออกมาได้อย่างนุ่มนวลชวนฝัน อีกผลงานที่ชอบมากๆ แต่ได้แค่รางวัลปลอบใจ เป็นภาพถ่ายเด็กในเมือง Morondava ทางชายฝั่งตะวันตกของมาดากัสการ์ เห็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ Baobab รูปทรงประหลาดอายุนับพันปีเป็นแบคกราวด์ รูปทั้งหมดที่เอามาลงให้ดูเป็นภาพถ่ายที่ได้รางวัล แต่ถ้าใครอยากชื่นชมภาพถ่ายที่เหลือและรายละเอียดแต่ละสถานที่ เชิญคลิก…

Hey! Put your phone down

ห่างๆ กับมือถือซักแป๊บ แลกกับส่วนลดค่าอาหาร 5% ไอเดียง่ายๆ ที่ทำให้ลูกค้าแห่กันมาดินเนอร์ในร้าน Eva ร้านอาหารเล็กๆ ในเมือง Los Angeles ที่จุลูกค้าได้แค่ 42 คนจนแน่นขนัด เจ้าของร้านเองก็ไม่เคยคิดเลยว่า ข้อเสนอขอยึดมือถือก่อนสั่งอาหาร แลกกับส่วนลดขำๆ ที่เกิดจากจากเจตนาดีอยากสนับสนุนลูกค้าให้ได้ disconnect to connect กะคนมากินข้าวด้วย จะทำให้ร้านตัวเองกลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ แถมลูกค้าหลายๆ คนที่มาเพราะข้อเสนอนี้ยังบอกด้วยว่า ไม่ลดก็ได้นะ แต่อยากให้ยึดมือถือ!?! นั่นไง! ในขณะที่นักโฆษณาพยายามหาทางสร้างงานโฆษณาตามติดผู้บริโภคลงไปถึงมือถือ แต่ก็มีผู้บริโภคบางส่วนที่อยากห่างๆ จากมือถือ เกมแมวจับหนูจึงไม่หมูด้วยประการฉะนี้

Virtual Life, Real Death

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หลังจากที่อเมริกาเกิดโศกนาฎกรรมคนคลั่งสาดกระสุนปืนซํ้าซ้อน ทั้งนักศึกษาแพทย์ที่หลงคิดว่าตนเองเป็นโจ๊กเกอร์จากหนังแบทแมน จนลุกขึ้นมากระหน่ำยิงคนจริงในโรงหนังที่กำลังฉายรอบปฐมทัศน์หนังแบทแมนภาคใหม่ หรือคนคลั่งลัทธิผิวขาวที่แยกแยะชาวซิกข์จากชาวมุสลิมไม่ออกก็เลยบุกเข้ายิงคนในโบสถ์ซิกข์จนตายไปหลายศพ ล่าสุดมีการเปิดโปงกันในโลกออนไลน์ถึงการตลาดล้ำเส้นของบริษัทเกมชื่อดัง Electronic Arts ที่คิดเชื่อมโยงความเหมือนในเกมไล่ล่ากลางสมรภูมิรบ Medal of Honor: Warfighter แล้วลิงค์เข้ากับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่หาซื้อได้จริงในท้องตลาด คือถ้าหากคนเล่นได้ยิงปืน ปาระเบิด หรือใช้มีดแบบไหนในเกมแล้วเกิดติดใจขึ้นมาล่ะก็ คนเล่นก็จะสามารถสั่งซื้ออาวุธจริงจากร้านขายอาวุธทั่วอเมริกาที่มาทำมาค้าขายอยู่ในเกมได้เลย อืมม์! มิน่าล่ะ เหตุสลดถึงได้มีแนวโน้มเกิดซ้ำซากในประเทศนี้ ทั้งอิทธิพลจากเกม จากสื่อต่างๆ ไหนจะอาวุธปืนก็หาซื้อกันได้แสนง่ายดาย ที่น่าเศร้าคือ คนบ้าเกือบทุกรายที่ก่อเหตุกราดยิงในชีวิตจริงต่างครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมายซะด้วย เหมือนที่หนังสารคดีระดับตำนานเรื่อง Bowling for Columbine ของ Michael Moore เค้าชี้ไว้ว่า ที่นั่นน่ะ คลั่งปืนกันขนาดที่ว่ากระสุนยังหาซื้อกันได้ใน Walmart เลย ดีนะที่พอมีกระแสแฉและตีกันหนักๆ ทาง EA ก็เลยยอมถอดก้อนไอเดียนี้ออกไปจากเว็บไซต์ตัวเองแล้ว ก็ถือว่าเป็นบุญของอเมริกันชนไป รอดตัวจากเกมนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าในเกมชีวิตข้างหน้่า จะต้องเจอกับอะไรอีก

Another Side of Olympians

ใครๆ ก็อยากเห็นอีกด้านของฮีโร่ ว่าแล้วก็เลยมี 2 คลิปร้องเล่นเต้นร้อง Unbrand VS Brand มาให้พวกเราได้ชื่นชมกันเล่นๆ ลองดูเอาเองแล้วกันนะครับ ชอบคลิปไหนมากกว่ากัน คลิปแรกเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมว่ายน้ำอเมริกาเค้าถ่ายทีมนักกีฬาว่ายน้ำเพื่อใช้โปรโมตให้คนอเมริกันตามเชียร์ จากที่ปกติคนดูทางบ้านมักจะได้เห็นแต่นักกีฬาหน้าดำคร่ำเครียดในสระแข่งขัน ก็เตี๊ยมให้นักกีฬามาร้องเพลงฮิต Call Me Maybe กันซะ ให้เห็นว่าเป็นคนปกติน่ารักๆ ชอบทำอะไรบ้าๆ บอๆ แบบพวกเรานี่แหละ คลิปนี้ปล่อยก่อนเทศกาลโอลิมปิกแล้วก็กลายเป็นคลิปดังใน YouTube แบบไม่ต้องใช้ Ad Agency ส่วนอีกคลิปเพิ่งปล่อยเมื่อวันแม่นี่เองครับ ปั้นโดยเอเจนซี่อิสระ Sid Lee ให้กับแบรนด์ Adidas เอานักร้อง ไม่ใช่! เอานักกีฬาที่ได้เหรียญโอลิมปิกของอังกฤษมาลิปซิงค์เพลง Don’t Stop Me Now ของวง Queen เพื่อเป็นการประกาศความสำเร็จของทีมนักกีฬาอังกฤษในโอลิมปิกคราวนี้ ดูจากการการถ่ายทำก็เห็นร่องรอยเงินยูโรเยอะอยู่ แต่ทำไม ผู้เขียนชอบคลิปทีมว่ายน้ำอเมริกันมากกว่าก็ไม่รู้สินะ คงเพราะดูจริงใจไม่ปรุงแต่งดีมั้ง!?!

« Older Entries Newer Entries »

Back to top