a day: number 184: Peace for Paris
Global Review: Advertising ตอน Peace for Paris By Weerachon Weeraworawit, Published: 25 December 2015 ผมโตมาในภาวะที่โลกคุกรุ่นด้วยภัยสงครามเย็น โลกถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ แล้วก็ได้เห็นการล่มสลายของขั้วใหญ่สหภาพโซเวียตกับตา ตอนนั้นยังนึกดีใจที่สงครามเย็นสิ้นสุด โลกเราจะได้สงบเสียที ที่ไหนได้ ต่อมา กลับได้เห็นเหตุการณ์ 9/11 ถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ จุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของสงครามยุคใหม่ ที่โลกต้องต่อสู้กับลัทธิการก่อการร้าย แล้วนับวันภัยผู้ก่อการร้ายที่มุ่งทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็ดูจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเหตุการณ์ใกล้ๆ ตัว คือการบอมบ์ศาลพระพรหมในบ้านเรา หรือล่าสุดที่ทำเอาช็อคไปทั้งโลก กับเหตุการณ์ที่ผู้ก่อการร้ายถล่มกรุงปารีสเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีกลางคืนก็มีกลางวัน หลังความมืดมิดก็จะมีแสงสว่าง ฉันใดก็ฉันนั้น เราจึงได้เห็นคนทั่วโลกลุกขึ้นมาให้กำลังใจชาว City of Light ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฉายแสงไฟตกแต่งอาคารสถานที่สำคัญๆ เป็นสีธงชาติฝรั่งเศส เฟซบุ๊คทำแอพฯให้คนย้อมโปรไฟล์ตัวเองด้วยสีธงชาติฝรั่งเศส รวมถึงหนุ่มนักดนตรีเยอรมันนำเปียโนไปเล่นเพลง Imagine หน้าโรงละครบาตากลอง สถานที่ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด กลายเป็นคลิปดังที่แชร์ไปทั่วโลก แต่สิ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ครั้งนี้ กลับเป็นภาพวาดเล็กๆ เพียงภาพเดียวที่แชร์ลงในทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค และอินสตาแกรม โดยกราฟิกดีไซเนอร์หนุ่มชาวฝรั่งเศสที่ไปจบการศึกษาจาก The Royal College of Art กรุงลอนดอนและเปิดสตูดิโอทำงานดีไซน์ที่นั่น นามกรว่า Jean Jullien ภาพวาดของเขาเป็นภาพลายเส้นหอไอเฟลง่ายๆ ที่วาดแทนที่เส้น 3 แฉกในวงกลมเครื่องหมายสันติภาพ มันได้ถูกนำไปแชร์บนโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง นำโดยเชฟดัง Jamie Oliver และ Harry Styles นักร้องวง One Direction และในเวลาแค่สองวัน ก็ได้กลายไปเป็นลวดลายบนเสื้อยืดที่ใส่กันทั้งโลก เป็นป้ายที่ผู้คนในฮ่องกงนำมาใช้ในงานรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ รวมถึงเป็นลายเส้นติดอยู่บนรองเท้าของนักอเมริกันฟุตบอลมหาวิทยาลัย Ohio State แรกเริ่มเดิมที... Read The Rest →
a day: number 183: Halloween Sleepover
Global Review: Advertising ตอน สุสานชวนนอน By Weerachon Weeraworawit, Published: 30 November 2015 ในปี 2010 ผมเดินทางไปร่วมเทศกาลคานส์ เพื่อไปติดต่อประสานงานให้กับสมาคมผู้กำกับศิลป์บางกอก (B.A.D.) ในการเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของคานส์ในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะทำให้ B.A.D. ได้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง เช่น สิทธิ์ในการเลือกครีเอทีฟรุ่นใหญ่ไปเป็นกรรมการตัดสินผลงานโฆษณาที่คานส์ และสิทธิ์ในการเฟ้นหาครีเอทีฟรุ่นใหม่ไปแข่งขัน Young Film Lions ผลพลอยได้ที่ตามมาคือการได้บัตรเข้าร่วมงานคานส์ตลอดทั้งอาทิตย์ พูดง่ายๆ คือตั๋วฟรีนั่นแหละครับ แต่ละปีคานส์จะให้ 5 ใบ สำหรับตัวแทนจากไทย ทำเป็นเล่นไป บัตรเข้าร่วมงานแต่ละใบนี่ราคาเป็นแสนนะครับ ผมเลยถือเสียว่าเป็นรางวัลจากการที่เราต้องออกค่าใช้จ่ายต่างๆ เอง ในการเดินทางไปทำงานให้สมาคมฯ ถึงที่โน่น ซึ่งถ้ายกเรื่องรางวัลสิงโตทองรวมทั้งปาร์ตี้ริมหาดออกไป เทศกาลคานส์ยังมีทีเด็ดที่จัดได้ว่าเป็นไฮไลต์ คือ Seminar Sessions โดยในแต่ละปี คานส์จะเชิญ Speaker ระดับโลกจากทุกวงการมาแชร์ความรู้และประสบการณ์ รวมถึงหัวข้อสัมมนาก็มักจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดใจให้เข้าร่วมรับฟัง ในปีนั้นเอง เป็นปีแรกที่ผมได้รู้จักชื่อของ Airbnb จากเวทีสัมมนา และได้เปิดหูเปิดตากับกลยุทธ์ขับเคลื่อน ที่ทำให้บริษัทแลกเปลี่ยนที่พักบนออนไลน์แห่งนี้ กลายเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามอง ด้วยการเคลื่อนหลักการในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือระหว่างผู้ให้เช่าที่พักและผู้เช่า จากเดิมที่วัดกันด้วยเครดิตทางด้านการเงินเป็นหลัก มาสู่การเช็คเครดิตจากตัวตนของแต่ละบุคคลบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะบนช่องทางโซเชียลชั้นนำอย่างเฟซบุ๊ค จากวันนั้นถึงวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจากบริษัท Start-Up เล็กๆ ที่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2008 โดยผู้ก่อตั้งยังต้องซุกหัวนอนในโรงแรม Bed & Breakfast ถูกๆ ในเมืองซานฟรานซิสโก เผลอแผล่บเดียวได้กลายเป็นเครือข่ายผู้ให้บริการที่พักขนาดยักษ์ มียอดผู้ใช้บริการกว่า 40 ล้านคน มีบ้านพัก อพาร์ทเมนท์ ขึ้นทะเบียนปล่อยเช่าไว้กว่าหนึ่งล้านห้าแสนแห่ง ในกว่า 34,000 เมืองทั่วโลก มีสำนักงานครอบคลุมกว่า 12 ประเทศ สิ่งที่ทำให้ธุรกิจของ Airbnb โตแบบก้าวกระโดด จนมูลค่าบริษัทพุ่งทะลุสองหมื่นล้านเหรียญ... Read The Rest →
BEYOND PRINT: 23th Article: Where Art Sells, Roppongi Hills
คิดนอกกระดาษ ตอน ศิลปะสร้างสรรค์จุดขาย Roppongi Hills By Weerachon Weeraworawit, Published: 25 October 2015 ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสพาน้องๆ ทีมงาน Well Done Bangkok ไปเที่ยวพักผ่อนประจำปีที่ญี่ปุ่น หลังจากที่เคยพาไปตะลุยเกียวโตและโอซาก้ามาแล้ว ปีนี้ก็เลยเลือกปักหมุดไปลงที่โตเกียวดูบ้าง เป้าหมายหลักในการพาออฟฟิศไป Outing ที่ไหนซักแห่ง อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่หวังว่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน ถึงเปลือกนอกจะดูเป็นการไปท่องเที่ยวก็ตาม แต่โดยเนื้อแท้ มันควรเป็นการเดินทางที่ทำให้ทีมงานได้ออกไปพบเห็น ได้ดื่มด่ำซึมซับศิลปะการใช้ชีวิตของผู้คนที่นั่น ได้ไปชื่นชมผลงานศิลปะและดีไซน์ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันความเจริญมาสู่ประเทศของเขา สร้างแรงขับให้กับทีมงานในการกลับมาสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ให้กับลูกค้าในประเทศไทยเรา นั่นทำให้ญี่ปุ่นเป็นตัวเลือกลำดับแรกตลอดมา นอกจากจะไปง่ายไม่ต้องขอวีซ่าอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ประเทศนี้ยังตอบโจทย์ทุกข้อข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านอาหารการกินที่ได้รับการยกย่องให้เป็น Gourmet Capital of The World เมืองหลวงในด้านโภชนาการของโลก เนื่องจากมีร้านอาหารที่ได้ Michelin Star มากที่สุดในโลก การที่ผู้คนในบ้านเมืองมีระเบียบวินัยและมีความเป็นชาตินิยมสูง มีวัฒนธรรมสมัยใหม่ปะปนอยู่กับคลื่นอารยธรรมสมัยอดีต มีสถาปัตยกรรมทันสมัย ผสานเข้ากับย่านที่อยู่อาศัยแบบเดิมๆ ได้อย่างน่าสนใจ สีสันการแต่งกายของผู้คนผนวกกับแหล่งช้อปปิ้งที่มีอยู่มากมาย ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลากหลายรูปแบบ การเสพอาร์ตที่นี่จึงมีทางเลือกมากมาย ไม่ว่าจะมองหาอาร์ตเพียวๆ หรืออาร์ตเบาๆ เนื่องจากเป็นทริประยะสั้น ใช้เวลาในโตเกียวแค่ 5 คืน เราจึงเลือกพิพิธภัณฑ์ประมาณ 3 แห่ง เริ่มจากทัวร์อาร์ตเบาๆ ให้อารมณ์สดใสตลอดทริป กับคาแรคเตอร์การ์ตูนยอดนิยมแห่งยุคที่พิพิธภัณฑ์ Fujiko F. Fujio Museum หรือพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน ที่เมือง Kawasaki บ้านเกิดของ Fujiko F. Fujio ศิลปินผู้ให้กำเนิดแมวน้อยแสนรักและแสนล้ำของชาวโลก โดยต้องนั่งรถไฟออกจากโตเกียวไปประมาณหนึ่งชั่วโมง และถ้าใครจะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ แนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้านะครับ กันผิดหวัง ตามมาด้วยทัวร์อาร์ตที่ให้ความรู้ตรงกับสายงานโฆษณาที่พิพิธภัณฑ์ Advertising Museum Tokyo ที่ก่อตั้งโดย Dentsu ยักษ์ใหญ่เอเจนซี่โฆษณาระดับโลกสัญชาติญี่ปุ่น ที่รวบรวมผลงานโฆษณาของประเทศพวกเขาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง... Read The Rest →
a day: number 182: King of Peace
Global Review: Advertising ตอน Burger King ราชันย์แห่งสันติภาพ By Weerachon Weeraworawit, Published: 31 October 2015 กลายเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการโฆษณาไปแล้ว กับงานโฆษณาที่มีเนื้อหาตั้งอยู่บนแกนของวันสำคัญต่างๆ แทนที่จะตั้งโจทย์อยู่บนจุดขายหรือทัศนคติของแบรนด์แบบที่เราคุ้นเคย ที่บอกว่าเป็นเทรนด์ไปแล้ว เห็นได้จากวันแม่บ้านเราที่ผ่านมา มีหลายแบรนด์กระโดดเข้ามาทำหนังโฆษณาต้อนรับวันสำคัญนี้กันยกใหญ่ โดยก่อนหน้านี้ งานโฆษณาที่อิงกับวันสำคัญ ที่เรียกเสียงฮือฮามาถึงเมืองไทย มักจะมาจากประเทศอังกฤษและอเมริกา โดยที่อังกฤษจะมีหนังโฆษณาดีๆ ออกมาทุกปีในช่วงวันคริสต์มาส ที่แต่ละแบรนด์เทงบฯโฆษณาลงมากันแบบมโหฬาร ขณะที่อเมริกันชน ก็มีผลงานรำลึกถึงโศกนาฏกรรม 9/11 ออกมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ไหนจะวันอีสเตอร์ วันชาติ วันพ่อ ฯลฯ จึงไม่แปลกที่งานโฆษณาของ 2 ประเทศนี้จะมีความแพรวพราวกว่าประเทศอื่นๆ มายาวนาน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโจทย์ต้นทางมีความหลากหลายกว่านั่นเอง และจากเทรนด์นี้ ทำให้เรากำลังได้เห็นแคมเปญที่สดใหม่จนน่าจะได้รับรางวัล Titanium Lions ที่คานส์ในปีหน้าเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แคมเปญที่ว่านี้เป็นของ Burger King ที่ทำขึ้นเพื่อเพิ่มการรับรู้ที่มีต่อวัน International Day of Peace หรือ World Peace Day อันหมายถึงวันสันติภาพสากล ที่ริเริ่มโดยองค์การสหประชาชาติ ในปี 2524 และถือเป็นวันสำคัญของโลกโดยเฉพาะกับชาติที่มีการรบพุ่งก็มักจะเลือกให้วันที่ 21 กันยายน เป็นโอกาสพิเศษในการหยุดยิงกันชั่วคราว ไอเดียของ Burger King ก็ง่ายๆ เริ่มจากการส่งสาส์นสงบศึกถึงคู่แข่งสำคัญ McDonald’s ผ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับในอเมริกา ชวนให้หยุดแข่งขันทำสงครามการตลาดกันหนึ่งวัน มาร่วมทำเบอร์เกอร์เวอร์ชั่นพิเศษฉลองวันสันติภาพสากลกันดีกว่า ตั้งชื่อให้เสร็จสรรพว่า McWhopper แหม! ช่างให้เกียรติคู่แข่งกระไรเช่นนี้ ให้ชื่อคนอื่นอยู่หน้าสินค้าไอเดียตัวเองซะด้วย โดยนำชื่อเบอร์เกอร์เบอร์หนึ่งของตนเองคือ Whopper มารวมเข้ากับเบอร์เกอร์สุดฮิตของ McDonald’s คือ Big Mac เกิดเป็นชื่อเบอร์เกอร์แห่งสันติภาพ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังออกแบบชุดพนักงาน กล่องเบอร์เกอร์... Read The Rest →
a day: number 181: Advertising Museum Tokyo
Global Review: Advertising ตอน Advertising Museum Tokyo By Weerachon Weeraworawit, Published: 30 September 2015 ประมาณ 5 ปีที่แล้ว มีข่าวเล็กๆ ในวงการโฆษณาบ้านเรา เมื่อบริษัททำ Post Production ชั้นนำในประเทศประกาศให้เอเจนซี่ต่างๆ ไปรับเทปฟุตเตจหนัง โฆษณาของตนเองกลับคืนไปก่อนที่จำต้องทำลายทิ้ง เนื่องจากต้องเสียค่า ใช้จ่ายสูงลิ่วในการเก็บรักษาม้วนเทปและแผ่นฟิล์ม นึกถึงความรู้สึกตอนนั้นยังใจหายถึงตอนนี้ เพราะทราบมาว่ามีเอเจนซี่ โฆษณาเพียงไม่กี่แห่งที่ไปรับฟิล์มกลับคืน ส่วนที่เหลือก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่ได้ไปรับผลงานในอดีตกลับมาเก็บรักษา เราจึงได้แต่ชื่นชมผลงานในอดีตของบ้านอื่นเมืองอื่น เดือนที่แล้วผมได้นำทีมงานชาว Well Done Bangkok ไปเที่ยวพักผ่อนประจำปีที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ก็เลยถือโอกาสพาไปเยี่ยมชม Advertising Museum Tokyo (ADMT) ที่ก่อตั้งโดยเอเจนซี่โฆษณายักษ์ใหญ่ของเอเชียและของโลก Dentsu ในปี 2002 วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งก็เพื่ออุทิศให้แก่ประธานบริษัทผู้บุกเบิกงานโฆษณาทางวิทยุและโทรทัศน์ Hideo Yashida พร้อมทั้งเป็นการสร้างขุมคลังความรู้เก็บไว้ให้ประเทศ ให้คนรุ่นนี้และรุ่นต่อๆ ไปได้เข้ามาศึกษาวัฒนธรรมของญี่ปุ่นผ่านผลงานการสื่อสารการตลาด สมดังแนวคิดของพิพิธภัณฑ์ที่ว่า โฆษณาเป็นกระจกส่องสังคม โดยแท้ ที่นี่ ผลงานโฆษณากว่าสองร้อยปีได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี ทั้งต้นฉบับและสำเนาดิจิตอล… เริ่มด้วยใบปลิวของห้างสรรพสินค้าในยุคเอโดะ (1603-1868) ซึ่งถือเป็นการแจ้งเกิดงานโฆษณาในญี่ปุ่นเมื่อกว่าสองร้อยปีก่อนอย่างเป็นทางการ โดยใช้เทคนิคภาพพิมพ์แกะไม้ Wood Block เป็นหลัก ในยุคนี้ มีการเขียนข้อความเนียนๆ แบบ Product Tie-in บนฉากละครคาบูกิซะด้วย แถมให้นักแสดงช่วยพูดชวนเชื่อบนเวทีให้อีก นับเป็นการใช้เซเลบช่วยโฆษณาให้เป็นครั้งแรกโดยมีแผ่นสคริปต์ข้อความโฆษณาเป็นหลักฐาน ตามมาด้วยผลงานในยุคเมจิ (1868-1912) ที่เทคโนโลยีการเรียงพิมพ์จากตะวันตกได้เข้ามาสู่ญี่ปุ่น นำมาสู่การถือกำเนิดของหนังสือพิมพ์เมื่อราวๆ 150 ปีก่อน อันเป็นจุดเริ่มต้นของงานโฆษณาแบบ Mass Media ที่ลงทุนไม่มากแต่ได้เห็นสินค้าและบริการในหน้าหนังสือพิมพ์กันทั้งประเทศ ต่อด้วยโฆษณาในยุคไทโช (1912-1926) ที่ญี่ปุ่นอยู่ในช่วงเปิดประเทศเต็มตัวทำให้รับอิทธิพลของ Art Nouveau... Read The Rest →